Subscribe:

Ads 468x60px

Featured Posts

วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Neocell Collagen Beauty Builder

Neocell Collagen Beauty Builder 

ราคาพิเศษ 800 บาท

ผลิตภัณฑ์ที่ช่วย ชะลอริ้วรอยแห่งวัย ปรับสภาพผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ มีความหยืดหยุ่นและชุ่มชื้น บำรุงผม เล็บ แก้ไขปัญหาได้กับผมร่วงช่วงอาบน้ำ กับสูตรผสมที่ลงตัวของคอลลาเจน กรดไฮยาลูโลนิค กรดอัลฟ่าไลโปอิค วิตามิน ซี และไบโอติน ถือว่าเป็นสินค้าตัว Top อันดับ 1 ของ Neocell Corp.


beauty bilder neocell collagen
ริ้วรอยที่มาพร้อมกับอายุ สร้างความกังวลใจให้ผู้หญิงหลาย ๆ คน ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลากหลายสารพัดออกมาตอบสนองความต้องการ ผิวสาวขาวใส ไร้ริ้วรอย หลายผลิตภัณฑ์พยายามค้นคว้าหาจุดขาย เพื่อกำจัดจุดอ่อนอันเป็นสาเหตุของริ้วรอยแห่งวัย ที่ผู้หญิงทุกคนต้องการหลีกหนี Neocell Beauty Builder คือผลิตภัณฑ์ที่ช่วย ชะลอริ้วรอยแห่งวัย ปรับสภาพผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ มีความหยืดหยุ่น และชุ่มชื้น

Neocell Beauty Builder ผลิตภัณฑ์อาหารผิวแบบ One Stop service มีส่วนประกอบสำคัญ คือ

1.     BIOACTIVE SUPER COLLAGEN TYPE 1&3 : ประกอบไปด้วยกรดอะมิโน***ที่สำคัญมากกว่า 19 ชนิด ที่ช่วยรักษาและปรับระดับคอลลาเจนของผิวหนังและร่างกาย รวมถึงการเสริมสร้างผิวหนังในระดับเชิงลึกที่เรียกว่า Rebuilding the skin matrix อีกด้วย
2.     HYALURONIC ACID: ช่วยคงความชุ่มชื้นให้แก่ผิว และเสริมสร้างเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิวพรรณ
3.     ALPHALIPOIC ACID : เป็นส่วนประกอบที่สำคัญซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันการสูญเสียคอลลาเจนจากการทำลาย ของสารอนุมูลอิสระและแสงแดด รวมทั้งมีผลช่วยในการฟอร์มตัวของเครือข่ายการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย
4.     SILICA: มีความสำคัญมากในการรักษาความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของผิวหนัง
5.     BIOTIN: ช่วยบำรุงรากผม เส้นผม เล็บและผิวหนัง
6.     Vitamin C: เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมคอลลาเจนและเสริมการสร้างคอลลาเจนอย่างรวดเร็ว
……………………………………………………………………………………………………………


Collagen คืออะไร

คอลลาเจน (Collagen) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคือ Kolla แปลว่า “กาว” เพราะเป็นโมเลกุลของโปรตีนที่มี Polypeptide 3 สายประกอบกันเป็นเกลียวเส้นใย มีหน้าที่สำคัญในการเชื่อมและยึดจับเซลล์เนื้อเยื่อเข้าด้วยกัน เช่น เส้นเอ็น ข้อต่อกระดูกต่างๆ รวมถึงช่วยเสริมการสร้างเนื้อเยื่อและเส้นเลือด สามารถพบได้ทั่วไปในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยมีปริมาณถึงร้อยละ 33 ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกาย ผิวหนังเราทั้งทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังร่างกายต้องสัมผัสกับแดดจ้าฝุ่นควัน พิษ ต่างๆ นาๆ ไม่เว้นแต่ละวัน อันเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวพรรณแห้งเหี่ยว หยาบกระด้าง และเกิดริ้วรอย นอกจากนี้พฤติกรรมการดำเนินชีวิตบางอย่าง เช่น นอนดึกสูบบุหรี่ ดื่มกาแฟ ฯลฯ ยังเป็นตัวการสำคัญที่คอยเร่งให้ผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่งต้องเสื่อมสภาพก่อน เวลาและวัยอันควรปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่มีผลต่อการเหี่ยวย่นของผิวพรรณ ก็คือ คอลลาเจน (Collagen) ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีอยู่ทั่วไปในร่างกายในปริมาณร้อยละ 6 ของน้ำหนักตัว หรือประมาณ 1 ใน 3 ของโปรตีนทั้งหมดที่มีในร่างกายโดยจะอยู่ภายใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งจะประกอบด้วยคอลลาเจนถึง 75%
Collagen เป็นโปรตีนธรรมชาติในร่างกาย มีสารสำคัญ 2 ชนิด คือ proteoglycan และ glycosamionglycans จัดเป็นโปรตีนเนื้อเยื่อเส้นใยชนิดหนึ่งที่มีความยืดหยุ่น เรียกว่า elastic fiber ซึ่งประกอบไปด้วย amino acid หลายชนิด ที่สำคัญ ได้แก่ glycene prolene และ hydroxyprolene ที่มีความสำคัญยิ่งต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกายมากมาย เช่น กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก กระดูกอ่อน ข้อ เหงือก ฟัน ตา หลอดเลือด ผิวหนัง เนื้อเยื่อที่เกี่ยวกับการยึดเหนี่ยว (ligaments) เส้นผม เล็บ ตลอดจนผนังหลอดเลือด จึงทำให้มีบางคนเรียก คอลลาเจน (collagen) ว่า “กาวแห่งชีวิต” เพราะทำหน้าที่เชื่อมเซลล์และอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเข้าด้วยกันรวมทั้งปกป้องอวัยวะภายในร่างกายให้อยู่ด้วยกันในผิว หนังชั้นหนังแท้ นอกจากนี้ คอลลาเจน (collagen) ยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างความเรียบตึงของผิวหนังทำให้ผิวแข็งแรงและเรียบ เนียน โดยจะทำหน้าที่คู่กับโปรตีนที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ อีลาสติน (Elastin) ซึ่งช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิวและทำให้ผิวไม่มีริ้วรอย ดังนั้นในปัจจุบันเราจึงมักจะพบเห็นหรือได้ยินการกล่าวถึง คอลลาเจน (collagen) กันอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในแวดวงความสวยความงาม
ขาย collagen neocell ราคาปลีก-ส่ง ของแท้ รีวิวราคาแบบถูกใจ
ขาย collagen neocell ราคาปลีก-ส่ง ของแท้ รีวิวราคาแบบถูกใจ
การสังเคราะห์คอลลาเจนเกิดในชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ซึ่งมีเซลล์ชื่อไฟโบรบลาสท์(Fibroblast) กระจายอยู่ทั่วและทำหน้าที่ผลิตสารสำคัญต่อผิว 3 ชนิดคือ 1.คอลลาเจน (Collagen) ช่วยให้ผิวตึง กระชับ
2.อิลาสติน (Elastin) ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และ
3.กรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น เอิบอิ่ม โดยรวมแล้วในชั้นผิวหนังแท้จะมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบมากที่สุดถึง 75% เลยทีเดียว

Collagen มีกี่แบบ

ในปัจจุบันแบ่งคอลลาเจนออกเป็น 29 รูปแบบ แต่มากกว่า 90% ของคอลลาเจนใน ร่างกายจะมีอยู่ใน 4 รูปแบบต่อไปนี้ ในวัยเด็กเราจะมีคอลลาเจน Type III มากที่สุดผิวของเด็กจึงดูนุ่มเนียน เต่งตึงสะดุดตากว่าวัยไหนๆ แต่เมื่อเราโตขึ้นคอลลาเจน Type I ก็จะถูกสังเคราะห์ขึ้นมาแทนที่ จนกระทั่งอายุ 25 ปีขึ้นไป คอลลาเจนในร่างกายจะเริ่มเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ โดยลดลงในอัตรา 1.5% ต่อปี เมื่อมีการสูญเสียคอลลาเจนมากกว่าการผลิตขึ้นใหม่ ผิวหนังจึงขาดความกระชับตึงและยุบตัวลงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นสาเหตุของริ้วรอยและผิวพรรณแห้งกร้านตามมา นอกจากการเสื่อมสลายไป ตามธรรมชาติแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่กระตุ้นให้คอลลาเจนเสื่อมเร็วขึ้น เช่น รังสียูวีจากแสงแดด บุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารปนเปื้อนในอาหาร อนุมูลอิสระ และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เป็นต้น

Collagen กับสุขภาพ

เนื่องจาก คอลลาเจน เป็นส่วนประกอบของกระดูก เอ็น และเนื้อเยื่อ ที่ทำหน้าที่ยึดเหนี่ยว ส่วนต่างๆ ในร่างกาย นักวิจัยจึงเชื่อว่าการที่ร่างกายมีคอลลาเจน อย่างเพียงพอจะช่วยลดอาการของโรคข้อต่ออักเสบ รวมถึงช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคดังกล่าวได้โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยง เช่น นักกีฬาที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายหนักๆ เป็นต้น ทั้งนี้การรับประทานคอลลาเจนอาจเรียกได้ว่าแทบไม่ต่างกับการรับประทานอาหาร ประเภทโปรตีน แต่เนื่องจากร่างกายคนเรามีปัจจัยแตกต่างกัน เช่น เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะดูดซึมสารอาหารไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้น้อยลง หรือไลฟ์สไตล์เร่งรีบที่ทำให้คนเรามีความเครียดสูง ต้องเผชิญกับมลพิษรอบตัว ไม่มีเวลารับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ฯลฯ ก็ล้วนทำให้ร่างกายมีคอลลาเจนไม่เพียงพอกับความต้องการได้ทั้งสิ้น การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อทดแทนในส่วนที่ขาดจึงได้รับความนิยม มากขึ้นในปัจจุบัน เพราะมีขั้นตอนการย่อยน้อยกว่าเนื้อสัตว์

Collagen กับผิวพรรณ

นอกจากคอลลาเจนจะถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์ เช่น ลดการอักเสบของผิวหนัง ใช้เป็นไหมละลายในการผ่าตัด ใช้เป็นสารบุร่องเหงือกและใช้เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแล้ว ในวงการผิวพรรณและความงามก็นำคอลลาเจนมาใช้เป็นส่วนประกอบอย่างแพร่หลายเช่น กัน อาทิ สกินแคร์ที่มีสารไมโครคอลลาเจน (Microcollagen) และวิตามินซีช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสท์ หรือการฉีดคอลลาเจนเข้าสู่ผิวโดยตรง (Collagen Replacement Therapy) ซึ่งทำให้ผิวเรียบตึงขึ้นได้ทันตา แต่ต้องฉีดซ้ำทุกๆ 6 เดือน และอาจมีผลข้างเคียงบางประการ เช่น เกิดตุ่มนูนเรื้อรังจากการฉีดในปริมาณมากเกินไป หรือเกิดอาการแพ้คอลลาเจนได้ จึงควรทดสอบการแพ้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนฉีดเสมอ ส่วนในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อผิวสวย นิยมใช้คอลลาเจน Type I ที่สกัดจากปลาทะเล (Bio-marine Collagen) เพราะมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับคอลลาเจนในร่างกายมนุษย์มากที่สุด ซึ่งมักนำมาตัดพันธะเคมีด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้มีโมเลกุลเล็กลงและ ง่ายต่อการดูดซึม เรียกว่า ไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน (Hydrolyzed Collagen) หรือคอลลาเจน ไฮโดรไลเสท (Collagen Hydrolysate) ถือเป็นทางหนึ่งที่ช่วยเสริมคอลลาเจนให้ผิวพรรณได้ง่ายขึ้น เพราะในช่วง 2-3 ชั่วโมงแรกของการหลับ ต่อมพิทูอิตารีในสมองจะหลั่งโกรว์ธ ฮอร์โมน (Growth Hormone) สู่กระแสเลือดเพื่อฟื้นฟูส่วนต่างๆ ของร่างกาย หากมีคอลลาเจนเพียงพอก็จะช่วยในการสังเคราะห์โปรตีนเพื่อซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ สึกหรอได้ดียิ่งขึ้น และยังมีผลทางอ้อมต่อการลดน้ำหนักไปพร้อมกัน กล่าวคือเมื่อร่างกายมีการสร้างกล้ามเนื้อมากขึ้น ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญไขมันมากขึ้นด้วย การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่าการรับประทาน อาหารประเภทโปรตีนในปริมาณมากก่อนเข้านอน

Collagen กับตัวช่วย

ยังมีอีกหลายตัวช่วยที่ยืดอายุคอลลาเจนให้อยู่กับเราได้นานขึ้น
• รับประทานอาหารอย่างเหมาะสม นอกจากทานอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้ว ควรเน้นผักและผลไม้ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน เพราะมีคุณสมบัติปกป้องและเพิ่มความแข็งแรงให้กับคอลลาเจนและอิลาสตินได้ดี
• คงความชุ่มชื่นให้เซลล์ผิว ยิ่งผิวสูญเสียความชุ่มชื่นมากเท่าไหร่ ริ้วรอยถาวรก็ปรากฏเร็วขึ้นเท่านั้น จึงควรชะลอวัยให้ผิวด้วยการใช้มอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน โปรคอลลาเจน อิลาสติน เอเอชเอ หรือเรตินอล ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ใช้ชีวิตอย่างพอดี ไม่ว่าจะใช้ผลิตภัณฑ์ดีเพียงไร การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารครบหมู่ และทำจิตใจให้แจ่มใส ก็ยังเป็นวิธียืดอายุคอลลาเจนที่สำคัญที่สุด หากรักษาสมดุลการใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสมแล้ว สุขภาพดีและผิวพรรณอ่อนเยาว์ก็จะอยู่กับเราไปอีกนานแน่นอน

การสูญเสีย คอลลาเจน (collagen)

น่าเสียดายที่เราพบข้อเท็จจริงว่าคนเราเมื่อ มีอายุ 25 ปีขึ้นไป คอลลาเจน (collagen) จะเริ่มเสื่อมสภาพลงเพราะอัตราการสังเคราะห์ คอลลาเจน (collagen) ใต้ผิวหนังในชั้นหนังแท้จะลดลงถึง 1.5% ต่อปีและเป็นความโชคร้ายที่จะเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายหรือที่เป็นปัญหา เรื่องแก่ก่อนวัยของสาวๆ ซึ่งอัตราการลดลงของ คอลลาเจน (collagen) ในผิวหนังนั้นจะมีผลให้ผิวพรรณค่อยๆ สูญเสียความชุ่มชื้น ยุบตัวลง ผิวที่เคยสวยเต่งตึงก็จะเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและสัญญาณของความร่วงโรยจะ ค่อยๆ เริ่มขึ้นเมื่ออายุ 30 ปีผิวจะเริ่มหย่อนคล้อยยิ่งอายุเพิ่มขึ้นสัญญาณของความร่วงโรยก็จะเพิ่มเป็น เงาตามตัว

อัตราการเริ่มสูญเสียคอลลาเจน (collagen) เมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป

- อายุ 30-39 ปี ผิวจะเริ่มมีรอยย่นบางๆ ทอดยาวบริเวณหน้าผาก มีริ้วรอยเล็กๆ ใต้ขอบตาล่างและหางตาจะเห็นชัดเวลายิ้มและมีรอยย่นตรงระหว่างคิ้วซึ่งจะเห็น ชัดเวลาหน้านิ่ว มีริ้วรอยบางๆ ที่ร่องแก้มจากจมูกจนถึงเหนือริมฝีปาก อาจเกิดไฝ กระ ฝ้าทั้งแบบลึกและตื้นขนาดของรูขุมขนจะเห็นชัดขึ้น
- อายุ 40-49 ปี รอยย่นบริเวณหน้าผาก ระหว่างคิ้ว ใต้ขอบตาล่างและหางตาเห็นชัดเจนมากขึ้น รอยย่นข้างแก้ม และร่องแก้มลึกทอดยาวไปจนจดมุมปาก มีฝ้าชนิดลึกมากขึ้นสภาพผิวเริ่มแห้งมีรูขุมขนใหญ่และเริ่มจะเป็นสิวอีก ครั้ง มีติ่งเนื้อขึ้นกระจัดกระจายเป็นตุ่มเล็กๆ สีน้ำตาลภาวะนี้เรียกว่าวัยเริ่มตกกระ
- อายุ 50-64 ปี ผิวจะมีสภาพเหมือนกับวัย 40-49 ปี แต่จะมีรอยย่นตามร่องแก้มลึกทอดยาวไปจนถึงบริเวณใต้มุมปาก มีฝ้าเกิดขึ้นและติ่งเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้น
- อายุ 65 ปี ขึ้นไปผิวหนังหยาบกร้าน มีริ้วรอยทั่วหน้า ริมฝีปากบางมีรอยย่นเหนือริมฝีปาก ส่วนการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ คล้ายกับวัย 50-64 ปี
ดังนั้นจึงถือว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้นกับ ทุกคนโดยที่เราไม่สามารถหยุดยั้งได้ แต่เราสามารถช่วยชะลอความเสื่อมของผิวพรรณและรักษาผิวไว้ให้ดูดีให้นานที่ สุดได้เช่นเดียวกัน โดยการใช้ สารสกัดโปรตีน คอลลาเจน (collagen) เพื่อทดแทน คอลลาเจน (collagen) ที่สูญเสียไป

การทดแทน คอลลาเจน (collagen) ที่สูญเสียไป

การนำสารสกัดโปรตีน คอลลาเจน (collagen) เข้าสู่ร่างกายเพื่อผลในการบำรุงผิวและลดริ้วรอยนั้นปกติทำได้ 2 วิธีคือ การฉีดเข้าใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้และการรับประทานในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริม อาหาร เนื่องจาก คอลลาเจน (collagen) เป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างโมเลกุลใหญ่มากดังนั้นจึงไม่สามารถซึมผ่านผิวหนัง ได้ด้วยการทา ซึ่งครีมบำรุงผิวต่างๆ ตามท้องตลาดที่มีส่วนผสมของ คอลลาเจน (collagen) ก็จะเป็นเพียงการผลัก คอลลาเจน (collagen) ให้เข้าไปอยู่ได้แค่ชั้นผิวหนังกำพร้า แต่เนื่องจาก คอลลาเจน (collagen) มีคุณสมบัติอุ้มน้ำไว้ได้ประมาณ 30 เท่าของน้ำหนักจึงทำให้ผิวชั้นหนังกำพร้าชุ่มชื้นขึ้นเท่านั้นจึงไม่สามารถ แก้ไขปัญหาริ้วรอยได้อย่างเป็นรูปธรรม และหากจะเปรียบเทียบระหว่างการฉีดคอลลาเจน (collagen) เข้าใต้ผิวหนังกับการรับประทานแล้ว จะพบว่า วิธีการรับประทานนั้นง่ายและสะดวกมากกว่าการฉีด ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากมีค่าใช้จ่ายสูงและต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
นอกจากนี้การรับประทานนั้นยังเป็นการนำ คอลลาเจน (collagen) เข้าไปเสริมสร้างทั้งส่วนของผิวหน้าและผิวพรรณทั่วร่างกาย โดยผลการวิจัยด้านโภชนาการได้ค้นพบว่า การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบของสารที่สกัดจากโปรตีนของ ปลาทะเลน้ำลึกบางประเภทที่มีโครงสร้างทางโมเลกุลคล้ายกับโครงสร้าง คอลลาเจน (collagen) ของผิวคนเรา โดยวิธีการ Enzymatic Hydrolysis เป็นประจำอย่างต่อเนื่องนั้น สามารถช่วยเสริมสร้าง คอลลาเจน (collagen) ที่สูญเสียไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งช่วยปกป้องและชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น รอยตีนกา ความแห้งกระด้าง ช่วยให้ผิวพรรณมีความชุ่มชื้น นุ่มนวล คงความยืดหยุ่นของผิวไว้ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงเล็บและเส้นผมให้มีสุขภาพดีได้อีกด้วย

บุคคลใดควรรับประทาน คอลลาเจน (collagen)

คอลลาเจน (collagen) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาความอ่อนเยาว์และบำรุงผิวพรรณที่ถูกทำลายหรือ เสื่อมสภาพลงเนื่องจากวัยที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหญิงและชายที่มีอายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไปและควรศึกษาคำเตือนบนฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ก่อนการรับประทาน
…………………………………………………………………………………………………………………
มิติใหม่ของการนำ Collagen มาใช้ประโยชน์
โดย ภก.ประวิทย์ ตันติสุวิทย์กุล
ที่ปรึกษาองค์การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการสาธารณสุข
ที่มา : วารสารสมาคมเภสัชกรรมชุมชน (ประเทศไทย) ฉบับที่ 27 สิงหาคม 2549
Collagen เป็นโปรตีนธรรมชาติในร่างกาย มีสารสำคัญ 2 ชนิด คือ proteoglycan และ glycosamionglycans จัดเป็นโปรตีนเนื้อเยื่อเส้นใยชนิดหนึ่งที่มีความยืดหยุ่น เรียกว่า elastic fiber ซึ่งประกอบไปด้วย amino acid หลายชนิด ที่สำคัญ ได้แก่ glycene prolene และ hydroxyprolene ที่มีความสำคัญยิ่งต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกายมากมาย เช่น กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก กระดูกอ่อน ข้อ เหงือก ฟัน ตา หลอดเลือด ผิวหนัง และเนื้อเยื่อที่เกี่ยวกับการยึดเหนี่ยว (ligaments)
Collagen นี้จะช่วยให้โครงสร้างของร่างกายแข็งแรง มีหน้าที่ในการป้องกันอวัยวะต่างๆในร่างกาย และเชื่อมอวัยวะต่างๆให้อยู่ด้วยกัน ทำให้มีความยืดหยุ่นดี เช่น ช่วยให้ข้อต่อต่างๆ ขยับหรือเคลื่อนไหวไปมาไม่ติดขัด โดยเฉพาะจำเป็นต่อเนื้อเยื่อของกระดูกอ่อนบริเวณข้อในการรับน้ำหนักและขยับ เคลื่อนไหวไปมาในอิริยาบถต่างๆ เช่น เดินหรือวิ่ง เป็นต้น โดยในร่างกายของคนเราพบว่ามีโปรตีนอยู่มากมาย แต่มีประมาณ 33% ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกายจะเป็น collagen และยังเป็นองค์ประกอบถึงร้อยละ 75 ของผิวหนัง จึงเป็นตัวที่ช่วยให้ผิวหนังหรือผิวพรรณเกิดความชุ่มชื้น นุ่มนวล ดูสดใส กระชับและเต่งตึงขึ้น ซึ่ง collagen ที่พบในส่วนของผิวนี้จะพบที่ชั้นหนังแท้ (dermis) ซึ่งเป็นผิวชั้นที่ 2 ที่อยู่ใต้ชั้นหนังกำพร้าและเป็น collagen ชนิดที่ 1,3 และ 4 แต่ถ้าเป็นชนิดที่พบในกระดูกอ่อนตรงข้อ จะเป็น collagen ชนิดที่ 2
ระดับของปริมาณ collagen ในร่างกายจะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น คือ เมื่ออายุย่างเข้า 30 ปี อัตราการสร้างหรือสังเคราะห์ collagen จะเริ่มลดลงปีละ 1.5% ในทุกๆปี และจะเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเมื่อระดับของ collagen ลดลง ก็จะทำให้ความยืดหยุ่นและสภาพความแข็งแรงของโครงสร้างอวัยวะต่างๆของร่าง กายลดลงด้วย ช่วงที่ collagen ในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง ร่างกายก็จะเริ่มสูญเสียความแข็งแรงของผิวหนัง กระดูก กระดูกอ่อน ตรงข้อต่อ ที่เป็นสามเหตุของปัญหาโรคข้อเสื่อมตามมา จนเกิดปัญหาปวดข้อ ข้อฝืด ข้อแข็ง ข้อผิดรูป และข้ออักเสบ เป็นต้น ในส่วนของผิวหนังก็จะเกิดริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น และรอยตีนกาเกิดขึ้น
ในเวลาต่อมาจึงได้มีการนำสารสกัด collagen มาใช้ประโยชน์ในรูปของ collagen hydrolysate คือ มีชนิดที่สกัดมาเพื่อใช้สำหรับบำรุงผิว ลดริ้วรอยต่างๆ กับอีกชนิดหนึ่งที่สกัดมาเพื่อใช้สำหรับบำรุงข้อ ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้จะแตกต่างกัน โดยได้มีการศึกษา ค้นคว้า และทดลองสกัดสาร collagen ชนิดที่ 2 จากกระดูกอ่อนของหมูในรูปของผง แล้วนำมาใช้ประโยชน์ในโรคข้อเสื่อม ผลก็คือเมื่อให้รับประทานวันละ 10 กรัม เป็นเวลา ต่อเนื่องกัน 3 เดือนขึ้นไป พบว่าไม่เพียงแต่ collagen hydrolysate จะสามารถเข้าไปทดแทนในเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนได้ ยังมีคุณสมบัติไปกระตุ้นให้มีการสังเคราะห์ collagen type 2 ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในกระดูกอ่อนตรงข้อต่อเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย พร้อมๆกับอาการปวดข้อและข้อยึดนั้นลดน้อยลงได้ เมื่อรับประทาน collagen hydrolysate ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ขึ้นไป คือ จะช่วยทำให้การเคลื่อนไหวของข้อดีขึ้น นอกเหนือจาก collagen hydrolysate ช่วยลดปัญหาเรื่องข้อเสื่อมได้แล้ว ยังมีประโยชน์ในผู้ที่มีปัญหาเรื่องกระดูก เช่น ในผู้หญิงวัยทองที่จำเป็นจะต้องเสริม calcium และจำเป็นต้องใช้ยาที่ป้องกันการสลายตัวของ calcium จากกระดูกพบว่า collagen มีส่วนช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้น และลดการสลาย calcium จากกระดูกได้ดีกว่าการใช้ยาแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงเป็นมิติใหม่อีกมิติหนึ่งของการนำ collagen hydrolysate มาใช้ประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องของข้อเสื่อมนอกเหนือจากเรื่องของผิวได้
ดังนั้น การที่จะรับประทาน collagen hydrolysate ชนิดไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ว่าจะใช้ประโยชน์กับส่วนไหน เช่น ผิว หรือ ข้อ เพราะจะเป็น collagen ที่แตกต่างกัน เนื่องจากที่ผิวหนังจะเป็น collagen ชนิดที่ 1 ,3 และ 4 ส่วนที่ข้อจะเป็นชนิดที่ 2 อีกทั้งส่วนประกอบสำคัญของข้อ จะแตกต่างจากผิวและอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย คือ จะประกอบไปด้วยน้ำ 60% proteoglycan 10% และ collagen ชนิดที่ 2 30% รวมทั้งจะแตกต่างกันทั้งขนาดและปริมาณที่จะรับประทานเพื่อให้เกิดผลตามที่ ต้องการด้วย
…………………………………………………………………………………………………………………

Hyaluronic acid (HA)

สารที่ถูกนำมาใช้เพื่อลดริ้วรอยแห่งวัยอย่างแพร่หลายและมีประสิทธิภาพ เรียกความมั่นใจให้กับคุณผู้หญิงอีกครั้ง  
Hyaluronic acid (HA) เป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นมาตามธรรมชาติ มีอยู่ทั่วไปตามร่างกาย โดยเฉพาะจุดเชื่อมต่อ ระหว่างอวัยวะและเซลล์ เช่น จุดเชื่อมต่อบริเวณหัวเข่า กระดูกอ่อน และผิวหนัง Hyaluronic acid (HA) เป็นตัวช่วยลดแรงต้านทานต่อการเสียดสี ทั้งยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ในความเป็นจริง Hyaluronic acid (HA) ได้นำมาใช้ในวงการแพทย์นานนับ 20 ปี โดยแรกเริ่มใช้รักษาคนไข้โรคขัอเสื่อม
ช่วยพยุงผิวให้คงตัวแน่นและเนียนนุ่ม ไม่มีริ้วรอย มีคุณสมบัติในการรักษาความชุ่มชื้น ลักษณะคล้ายฟองน้ำ สามารถซึมซับน้ำและพองตัวได้เป็นพัน ๆ เท่าของขนาดตัวมันเอง
ส่วนผสมหลักของการรักษาริ้วรอยแห่งวัย พบได้ในร่างกายของมนุษย์ตามวุ้นในโพรงลูกตา, น้ำหล่อลื่นข้อต่อต่าง ๆ และเนื่อเยื่อส่วนต่าง ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวยึดเกาะแต่ละส่วนให้ติดกัน มีลักษณะเป็นวุ้นอยู่ระหว่างคอลลาเจนและอีลาสตินไฟเบอร์ ช่วยลำเลียงสารอาหารต่าง ๆ ที่จำเป็นจากกระแสเลือดไปยังเซลล์ต่าง ๆ ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น โดยการกักเก็บน้ำไว้ใต้ผิวและทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวหล่อลื่นผิวจากการถูกทำลายจากสารเคมี ไฮยาลูรอนิคนี้จัดเป็นประเภทของ glycosaminoglycan ซึ่งมีหน้าที่ต้านการอักเสบ และการบวมน้ำ
หน้าที่หลัก ๆ ของ glycosaminoglycan คือช่วยรักษาระดับน้ำในร่างกาย เติมสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อกระบวนการของร่างกาย และลำเลียงไปยังโมเลกุล

เมื่ออายุมากขึ้น ระดับการสร้างไฮยาลูรอนิคของร่างกายจะลดลง เป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและปวดตามข้อต่อต่าง ๆ รวมถึงรอยแผลเป็น ริ้วรอยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนใบหน้า เช่น ริ้วรอยระหว่างคิ้วที่เกิดจากการขมวดคิ้วเป็นประจำ, ริ้วรอยบริเวณมุมปากในรายของผู้ที่สูบบุหรี่, รอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นบริเวณหน้าผาก, รอยตีนกาบริเวณหางตา เป็นต้น

HYALURONIC ACID กับการกระชับริ้วรอย 
Hyaluronic acid (กรดไฮยาลูโรนิก) เป็นสารที่ใช้กันมานานกว่า 10 ปี และนิยมใช้ในเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ในการดูแลผิว   ปัจจุบันนี้ก็ยังคงได้รับความนิยมมาตลอด เป็นเพราะว่ามันออกฤทธิ์ได้ผลดี โดยเฉพาะช่วยในการลดริ้วรอย
Hyaluronic acid นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์โดยเฉพาะทางด้านความงาม (ทั้งในรูปครีมทาและยาฉีด) และในธุรกิจเครื่องสำอางเอง พวกเราก็จะพบเห็นได้บ่อยมากในผลิตภัณฑ์กลุ่มลดริ้วรอย ด้วยความสามารถในการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ถูกทำลาย และเร่งขบวนการหายของแผล ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ ถูกนำมาใช้เป็นจุดขายหลักของผลิตภัณฑ์แบรนด์เนมหลายตัว และรวมไปถึงเวชสำอางที่เป็นแบรนด์เนมของแพทย์ โดยใช้เป็นสารออกฤทธิ์ที่สำคัญร่วมกับโคเอ็นไซม์-คิวเท็น (Coenzyme Q10), วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ
ร่างกายคนเราสามารถสร้าง Hyaluronic acid ได้เอง โดยพบมากที่ผิวหนัง และปัจจุบันก็มีการผลิตขึ้นมาขายในเชิงพาณิชย์โดยผ่านขบวนการหมักทางชีวภาพ
Hyaluronic acid มีลักษณะหนืดข้น ละลายน้ำได้และมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดีมาก   แนะนำให้ใส่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (ทั้งครีมบำรุง, โลชั่น, สเปรย์, ลิปสติก อื่นๆ) ที่ความเข้มข้น 0.25% ถึง 2.00%
นอกเหนือจากคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดีแล้ว มันยังช่วยลดการสร้างอนุมูลอิสระและช่วยกรองรังสี UV ได้อีกด้วย   ดังนั้นจะเห็นได้ว่า โดยลำพังแล้วกรดไฮยาลูโรนิกก็จัดได้ว่า เป็นสารที่ช่วยชะลอความแก่ที่มีประสิทธิภาพดีตัวหนึ่ง   จึงมีราคาค่อนข้างแพงพอควร และราคาของผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายก็ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของปริมาณกรดไฮยาลูโรนิกที่ใช้
……………………………………………………………………………………………………………

กรดอัลฟาไลโปอิค(Alpha lipoic acid)

หนึ่งในอาหารเสริมที่ช่วยทำให้สิวดีขึ้น สามารถลดการอักเสบและรอยแดงจากสิวต่อต้านอนุมูลอิสระ  เราจะเห็น Alpha lipoic acid ที่ขายกันในบ้านเราในรูปของอาหารเสริมที่ช่วยเรื่องผิวพรรณ

กรดอัลฟาไลโปอิค คืออะไร?

กรดอัลฟาไลโปอิคใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อรักษาและป้องกันเชื้อโรคได้หลากหลาย เป็นสารต้านอนุมูลอิสระภายในร่างกาย และปกป้องเซลล์จากการถูกทำลาย อนุมูลอิสระเป็นตัวการสำคัญในการทำลายเซลล์ แหล่งที่มาทั่วไปของอนุมูลอิสระคือ อาหารทอด, ควันบุหรี่, ควันพิษ และมลภาวะต่าง ๆ

กรดอัลฟาไลโปอิคทำหน้าอะไร?

หน้าที่หลักของกรดอัลฟาไลโปอิคคือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกลูตาไธโอน ซึ่งมีหน้าที่ขจัดสารพิษในตับ กรดอัลฟาไลโปอิคนั้นดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้ง่าย พบได้มากในผักและเนื้อสัตว์ เนื่องจากกรดอัลฟาไลโปอิคสามารถละลายได้ทั้งในน้ำและน้ำมัน สามารถไปเลี้ยงเซลล์ได้ทุกส่วน ความสามารถอันยอดเยี่ยมนี้ทำงานได้เองภายในเซลล์เพื่อช่วยกำจัดสารพิษที่อยู่ในร่างกาย และยังต่อต้านการอักเสบอันเป็นเหตุให้เกิดสิว ช่วยรักษาการอักเสบไม่ให้สิวนั้นอักเสบลุกลามมากไป
กรดอัลฟาไลโปอิคนั้นทำงานร่วมกับวิตามินบี ซี และอี และสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่น ๆ เพื่อให้เซลล์ร่างกายทำงานกันอย่างปกติ พึงระลึกไว้ว่าวิตามินเหล่านี้มีหน้าหลักในการต้านแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิวและช่วยให้การรักษาสิวที่เกิดขึ้นเป็นไปได้รวดเร็วขึ้น กรดอัลฟาไลโปอิคช่วยให้วิตามินเหล่านี้เกิดขึ้นใหม่ หรือหมุนเวียนกลับมาใหม่ ช่วยให้วิตามินเหล่านี้ทำงานได้มากขึ้น
กรดอัลฟาไลโปอิคทำความสะอาดและทำให้ผิวบริสุทธิ์ โดยการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ดังนั้นจึงสามารถป้องกันการเกิดสิว และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการไหลเวียนของเลือดไปยังประสาท ดังนั้นผิวก็จะได้รับสารอาหารที่จำเป็นในการบำรุง ช่วยให้ผิวพรรณดูสดใสขึ้น
กรดอัลฟ่าไลโปอิคช่วยต้านการอักเสบระดับปานกลาง เนื่องจากมีปริมาณของ Sulfur เป็นองค์ประกอบด้วย จึงช่วยลดการบวมและอาการผิวแดงจากสิว กรดอัลฟ่าไลโปอิคนั้นถือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีมากตัวหนึ่ง เนื่องจากสามารถละลายได้ทั้งในน้ำและน้ำมัน ด้วยเหตุนี้ร่างกายจึงสามารถดูดซึมได้ง่ายและสามารถเลี้ยงไปทั่วร่างกาย

กรดอัลฟาไลโปอิก (Alpha Lipoic Acid ; ALA)

เรียกสั้น ๆ ว่า กรดไลโปอิก หรือบางคนรู้จักในชื่อ Thioctic acid กรดอัลฟาไลโปอิค Alpha Lipoic Acid สารต้านอนุมูลอิสระ ที่ได้ชื่อว่าเป็น “Universal Antioxidant” ร่างกายคนเราสามารถสร้างได้เองตามธรรมชาติ พบมากที่ตับและเนื้อเยื่อบริเวณอื่นๆ ลักษณะคล้ายวิตามิน ทำหน้าที่เป็น Coenzyme ในขบวนการเผาผลาญน้ำตาล และสารอาหารอื่น ๆ ให้เป็นพลังงาน โดยปกติ ร่างกายเราสามารถสังเคราะห์ กรดอัลฟาไลโปอิคได้เองอยู่แล้ว ในปริมาณคงที่ ซึ่งร่างกายเราผลิตได้ในจำนวนที่เพียงพอ ต่อการช่วย ไมโตคอนเดรีย (mitochondria) เปลี่ยนกลูโคสไปเป็นพลังงานเท่านั้น ไม่ได้ผลิตให้เหลือพอ ที่จะใช้ต่อต้านความเสื่อมชราของเซลล์ หรือเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกาย
กรดไลโปอิค เป็นสารต้านออกซิเดชั่นที่ทรงพลังในการต่อสู้กับอนุมูลอิสระ ที่ปรากฏอยู่ใน ไมโตคอนเดรีย (mitochondria)ภายในเซลล์ นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า อนุมูลอิสระภายใน ไมโตคอนเดรีย (mitochondria) มีบทบาทสำคัญในการทำให้คนแก่ตัวลง จึงตั้งทฤษฎีว่า ถ้าให้สารยับยั้งออกซิเดชั่น อย่างกรดไลโปอิค ก็น่าชะลอความแก่ได้ กรดไลโปอิคยังช่วยรีไซเคิลวิตามินอี และ วิตามิน ซี ให้กลับเป็นรูปเดิม หลังจากวิตามินอี และ วิตามินซี ไปล้างพิษอนุมูลอิสระเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังมีหลักฐานว่า ช่วยลดความเสียหาย เวลาร่างกายมีน้ำตาลในเลือดมากไป ซึ่งอาจทำให้คนไข้เบาหวานดีขึ้น สารนี้จึงมีบทบาทหลักในการย่อยเผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงาน ช่วยให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเป็นไปได้ดีขึ้น
กรดอัลฟาไลโปอิก (Alpha Lipoic Acid ; ALA)  มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถละลายได้ทั้งในน้ำและไขมัน เป็นตัวที่ทำให้วงจรของสารต้านอนุมูลอิสระครบสมบูรณ์
กรดอัลฟาไลโปอิก (Alpha Lipoic Acid ; ALA)จะพบในผักโขม บร็อกโคลี่ และเนื้อสัตว์จำพวกเครื่องใน ช่วยในเรื่องการเผาผลาญอาหาร โดยเฉพาะการเปลี่ยน Glucose เป็นพลังงาน
กรดอัลฟาไลโปอิก (Alpha Lipoic Acid ; ALA) เสริมการทำงานของวิตามิน E และ C ช่วยนำสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน C กลับมาใช้ และนำกลูโคสเข้าเซลล์
นอกจากนี้กรดอัลฟาไลโปอิก (Alpha Lipoic Acid ; ALA)ยังได้รับการขนานนามว่าเป็น Universal Antioxidant เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ เช่น วิตามินซี อี, Glutathione หรือ Co-enzyme Q10 ให้กลับมาอยู่ในรูปที่ใช้งานได้อีก หลังจากที่ใช้ในการกำจัดอนุมูลอิสระไปแล้ว
ด้วยคุณสมบัติของกรดอัลฟาไลโปอิก คือ สามารถละลายได้ทั้งในน้ำและไขมัน สามารถซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เข้าไปในชั้นลึกสุดของเซลล์ระดับ DNA จึงสามารถแทรกซึมไปชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ทั่วเซลล์ในร่างกาย ในขณะที่สารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น CoQ10 ที่ละลายในไขมันได้เพียงบางส่วน
 
กรดอัลฟาไลโปอิกเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยง่าย ช่วยในการกำจัดสารพิษที่อยู่ในร่างกายได้เป็นอย่างดี
กรดอัลฟาไลโปอิก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกลูตาไธโอน ซึ่งมีหน้าที่ขจัดสารพิษในตับ
กรดอัลฟาไลโปอิก ยังต่อต้านการอักเสบที่ทำให้เกิดสิว ช่วยรักษาการอักเสบของสิว กรดอัลฟาไลโปอิกทำให้ผิวสะอาด โดยการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ดังนั้นจึงสามารถป้องกันการเกิดสิว ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือดไปยังระบบประสาท

อนุมูลอิสระคืออะไร ?

อนุมูลอิสระก็คือกระบวนการต่างๆที่เกิดขึ้นกับเราไม่ว่าจะเป็น การกิน การนอน การหายใจ การนึกคิด หรือสิ่งเร้าภายนอกเช่น แสงแดด อากาศ มลภาวะ ซึ่งเหล่านี้แหละเป็นตัวการให้เกิดการทำงานของเซลล์ในร่างกายที่อาจจะผิดปกติ ร่างการชำรุดทรุดโทรม หน้าดำหมองคล้ำ ผิวไม่ผ่อง ริ้ิวรอยก่อนวัย

Alpha Lipoic Acid (ALA)เข้าไปช่วยอย่างไร?

กรดไลโปอิคถูกพูดถึงในฐานะ “Universal Antioxidant” หรือสารต้านอนุมูลอิสระครอบจักรวาลเนื่องจากสามารถละลายได้ทั้งในน้ำและไขมัน ทำให้สามารถซึมเข้าไปได้ง่ายและเข้าไปได้ลึกถึงเซลล์ชั้นในมากกว่าสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ เข้าไปดูแลได้ทั่วถึงละตรงจุดอีกด้วย

ประสิทธิผลของ Alpha Lipoic Acid

1.     ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆเช่น วิตามินอี วิตามินซี วิตามินเอ กลูตาไธโอน CoQ10 ที่ปกติเมื่อถูกใช้งานไปแล้วจะหมดสภาพทันที ให้กลับมาโลดแล่นในร่างกายได้อีกครั้ง
2.     รักษาอาการอักเสบปวดหรือชาที่ปลายประสาท 
3.     ช่วยทำงานส่งเสริมอินซูลิน ควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด
4.     เพิ่มระดับกลูตาไธโอนในตับ ทำให้ช่วยล้างสารพิษในตับได้รวดเร็วขึ้น
5.     กำจัดโลหะที่เป็นพิษต่อร่างกาย เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม
6.     มี Sulfur เป็นส่วนประกอบ จึงช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเกิดสิว
7.     ช่วยให้ร่างกายไม่อ่อนเพลีย 
8.     ลดอาการปวดไมเกรน 
9.     ช่วยชะลอและป้องกันการเกิดโรคหัวใจและโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด
10.   ช่วยป้องกันหรือชะลอของโรคอัลไซเมอร์
11.    ผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อช่วยลบเลือนริ้วรอย 
****Alpha lipoic acid (ALA) เป็นสาร Antioxidant สามารถต้านอนุมูลอิสระที่เกิดในร่างกาย นำวิตามิน C, วิตามิน E, กลูต้าไธโอน และ Co-Q10 ภายในร่างกายที่เสียหายจากการซ่อมแซมเซลล์กลับมาใช้ใหม่ได้ ทำให้ร่างกายไม่ขาดแคลนวิตามิน และสารสำคัญดังกล่าว ช่วยเพิ่มระดับกลูต้าไธโอนในตับเพื่อให้ตับขับสารพิษได้ดีขึ้น
Alpha lipoic acid (ALA)เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติคล้ายกับวิตามินในร่างกาย ALA จะทำงานร่วมกับวิตามิน อี ซึ่งจะช่วยในการ Recycle ให้วิตามิน อี ที่จับกับอนุมูลอิสระไปแล้ว ให้กลับมาทำงานใหม่ได้ รวมทั้งมีประโยชน์ในการช่วยต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องผิวจากรังสี UV ต่อต้านการเกิดริ้วรอยก่อนวัย เสริมการเจริญเติบโตของเส้นผม ป้องกันความเสื่อมของเซลล์ ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนกว่าวัย
……………………………………………………………………………………………………………

ไบไอติน (Biotin) หรือวิตามิน H

***Biotin ไบโอติน ทำหน้าที่สำคัญในการสร้างกรดไขมัน ซึ่งเสริมสร้างสุขภาพของต่อมเหงื่อ เซลล์เม็ดเลือด ผิวหนัง และเส้นผม ให้ทำงานเป็นปกติ ใช้เสริมการรักษาผู้ป่วยเล็บเปราะได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมกระบวนการสร้างเคอราติน ซึ่งเป็นสารสำคัญ ที่พบในผิวหนัง ผม และเล็บ ผิว ผม ช่วยให้เล็บไม่เปราะ หรือฉีกขาดง่าย ช่วยให้ผิวและผมมีสุขภาพดี ไม่แห้ง หรือแตกปลาย

ไบไอติน (Biotin) หรือวิตามิน H เป็นวิตามินที่ละลายน้ำ อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับวิตามิน บี (Vitamin B) ผลึกของไบโอตินเป็นรูปเข็มยาว ในธรรมชาติมักเกิดรวมอยู่กับกรดอะมิโนไลซีน (lysine) ไบโอตินเป็นสารจำเป็นในการเติบโตของยีสต์และจุลินทรีย์หลายชนิด ในปี ค.ศ. 1936 นักวิทยาศาสตร์ชาวดัทช์ได้คิดแยกไบโอตินออกจากอาหาร และต่อมาได้มีผู้วิเคราะห์หาสูตรโครงสร้างและสังเคราะห์ไบโอตินได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1943
แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ของเราที่เรียกว่า นอร์มอลฟอร์ร่า (Normal Flora) ซึ่งเป็น probiotic จะสามารถสร้างวิตามินไบโอติน เพื่อใช้ประโยชน์ในร่างกายของเราได้ รวมถึงในอาหารที่รับประทาน จึงไม่ค่อยพบปัญหาการขาดไบโอตินในคน มีบ้างในกรณีของผู้ที่รับประทานยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียอยู่เป็นประจำ ซึ่งยาฆ่าเชื้อดังกล่าวจะเข้าไปทำลาย แบคทีเรียนอร์มอลฟอร์ร่าในลำไส้ใหญ่
นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ที่นิยมรับประทานไข่ดิบ ซึ่งในไข่ดิบนั้นจะมีโปรตีนชนิดหนึ่งที่ชื่อ โปรตีน อะวิดีน (Avidin) ที่มีคุณสมบัติในการรวมกับไบโอตินในอาหาร หรือลำไส้ เกิดเป็นสารประกอบที่ไม่ละลายน้ำ ทำให้ลดการดูดซึมวิตามินไบโอตินดังกล่าว เข้าสู่ร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายของเราขาดวิตามินไบโอตินได้อีกทางหนึ่งด้วย
biotin neocell collagen

อาการของผู้ที่ขาดวิตามินไบโอติน (The symptom of defficiency)

1. หมดเรี่ยวแรง (Fatigue) เจ็บปวดกล้ามเนื้อ (Muscle Pain)
2. คลื่นไส้อาเจียน (Nausea) หรือความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร เช่น เบื่ออาหาร (Loss of Appetite)
3. มีอาการทางระบบประสาท เช่น นอนไม่หลับ (Insomnia) ภาวะซึมเศร้า (Depression) ประสาทหลอน (Hallucination)
4. ผิวแห้ง (Dry Skin) เป็นผื่นคัน โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตา จมูก ปาก และบริเวณอวัยวะเพศ ผิวคล้ำและเป็นจ้ำ การรับสัมผัสทางผิวพรรณผิดปกติ (Sensitivity to touch)
5 อาการผมร่วง (Hair Loss)
6. ระบบการเผาผลาญไขมันเกิดความบกพร่อง ส่งผลให้ไขมัน โคเลสเตอรอลในเลือดสูง (Increase in cholesterol) และการเผาผลาญไขมันน้อยลง
***กลไกของไบโอติน (Biotin) จะทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทางชีวเคมีที่เรียกว่า โคเอ็นไซม์ (Co-enzyme) ซึ่ง ได้แก่
1. เป็น โคเอ็นไซม์ (Co-enzyme) ในขบวนการเผาผลาญไขมัน (Fat Metabolism) ช่วยให้ร่างกายสามารถนำไขมันมาใช้ประโยชน์ได้ดีขึ้น และนำไขมันมาสร้างเป็นกรดไขมัน (Fatty Acid) ที่เป็นสารตั้งต้นของสารสำคัญในร่างกายอื่นๆ ได้ดีขึ้น
2. เป็น โคเอ็นไซม์ (Co-enzyme) ในกระบวนการสร้างสาร ไพริมิดีน (Pyrimidine) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่ร่างกายนำไปใช้สร้างกรดนิวคลีอิค (Nucleic Acid) หรือ ดีเอ็นเอ (DNA) และ อาร์เอ็นเอ (RNA) ซึ่งเป็นสารทางพันธุกรรมต่อไป
จากกลไกการทำงานของไบโอตินทำให้เราทราบว่า ในขบวนการแบ่งเซลล์ หรือเพิ่มจำนวนเซลล์ มีความจำเป็นที่เซลล์ใหม่จะต้องมีสารพันธุกรรม ดีเอ็นเอ (DNA) และอาร์เอ็นเอ (RNA) เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่านั้น จำเป็นที่จะต้องใช้วิตามินไบโอติน ในการสร้างสารตั้งต้นเสมอ ดังนั้นหากขาดวิตามิน ไบโอติน ดังกล่าว ย่อมทำให้ขบวนการในการสร้างเซลล์ใหม่เกิดภาวะบกพร่องได้ ตัวอย่างอวัยวะที่ต้องเซลล์ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา คือ เซลล์ผิวพรรณ เส้นผม และเล็บ ยิ่งจะปรากฎภาวะความบกพร่องได้ง่ายและชัดเจนขึ้น เช่น อาจทำให้เกิดภาวะผมร่วง (Hair Loss) ภาวะผิวหนังอักเสบ (Dermatitis) นอกจากนี้ ในสตรีมีครรภ์ที่เซลล์ตัวอ่อนทารกมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วก็ต้องการไบโอตินมากขึ้นสำหรับการสร้างสารพันธุกรรมอีกด้วย

แหล่งของ ไบโอติน (Biotin) ในอาหาร

Biotin พบได้ในอาหารหลายประเภท แต่มักจะพบในปริมาณที่น้อยกว่าวิตามินที่ละลายน้ำได้ชนิดอื่น ๆ อาหารที่มีไบโอตินมากที่สุด ได้แก่ ตับ ไต นม ไข่แดงและยีสต์ นอกจากนี้ยังมีมากในผักและผลไม้สดหลายชนิด อาหารที่มีไบโอตินน้อยมาก คือ เนื้อสัตว์ เมล็ดธัญพืชและผลิตผลจากข้าวและแป้ง

ประโยชน์ของไบโอติน

ไบโอติน เป็นสารที่มีความจำเป็นต่อขบวนการเมตาโบลิซึม หรือการเผาผลาญพลังงานจากทั้งคาร์โบไฮเดรต(แป้ง น้ำตาล) และโปรตีน ซึ่งในแต่ละวันร่างกายคนเราถ้าขาดไบโอตินไป หรือหากได้รับไบโอตินไม่เพียงพอนั้น ขบวนการใช้พลังงานต่างๆ ในร่างกายอาจเกิดความผิดปกติขึ้นได้ และแน่นอนว่าผลที่ตามมาคือ ภาวะผมร่วง ผมบาง เล็บเปราะ ฉีกขาดง่าย
จากผลการวิจัยพบว่าคนที่ขาดไบโอตินส่วนใหญ่ มักจะประสบปัญหาผมหงอกก่อนวัย ผมหลุดร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน เล็บเปราะหักง่าย ผิวหนังอักเสบ ผิวหนังมีสีเทา หรือแม้แต่อาการอ่อนเพลีย โลหิตจาง และมีโคเลสเตอรอลในเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งบางครั้งอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ หรืออาจมีอาการซึมเศร้าได้ด้วย

การขาดไบโอติน กับภาวะผมร่วง !!

หากขยายความปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพเส้นผมอันเนื่องมาจากภาวะขาดไบโอตินแล้ว ผลที่ตามมานั่นหมายถึง ภาวะผมร่วงมากผิดปกติ อาการหนังศีรษะอักเสบ ผมขาวก่อนวัย ผมขึ้นใหม่ผิดปกติ ผมเปราะ ผมแตกปลาย รังแค รวมไปถึงความผิดปกติอื่นๆ ของเส้นผม และหนังศีรษะที่อาจเกิดขึ้นได้
เมื่อร่างกายได้รับไบโอตินอย่างพอเพียง ไบโอตินจะช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของเซลล์เยื่อบุผิว ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญ ของการสร้างน้ำตาล, กรดอะมิโน และกรดไขมัน ช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างพลังงานระหว่างการออกกำลังกาย หรือการทำกิจวัตรประจำวันใดๆ นอกจากนี้ไบโอตินยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับรากผม หนังศีรษะ เส้นผม เล็บ และความเรียบของผิวหนังอีกด้วย
นอกจากการขาดไบโอตินจะมีผลทำให้ผมร่วงแล้ว ยังทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า, อ่อนเพลียเรื้อรัง, อาการชา, น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, ซีด และภูมิคุ้มกันลดลง อาการขาดไบโอตินรักษาได้โดยการให้วิตามินเสริม การใช้วิตามินไบโอตินสังเคราะห์นี้จะไม่ได้ผลดีและปลอดภัยเท่ากับ การได้รับวิตามินชนิดนี้จากอาหารสดธรรมชาติ อาจใช้ไบโอตินผสมในแชมพู ครีมนวดผม หรือโลชั่นเพื่อช่วยในการรักษาภาวะผมร่วง การใช้ไบโอตินเสริม ได้ผลดีในการช่วยการรักษาโรคของผิวหนัง ผมและเล็บ ทำให้อาการผมร่วงผื่นแพ้ที่หนังศีรษะ ผมเปราะบางขาดง่าย ผมแตกปลาย รากผมเสียหายดีขึ้นได้จริง

ผู้ที่ควรรับประทานวิตามินไบโอติน ได้แก่

* ผู้ที่มีปัญหาผมร่วง
* ผู้ที่ดัด ย้อม ยืด โกรกทำสีผม เป็นประจำ ทำให้เกิดปัญหาเส้นผมไม่แข็งแรง หลุดร่วงง่าย
* ผู้ที่มีปัญหาเล็บเปราะ บาง ฉีกขาดง่าย
* ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการขาดไบโอติน เช่น รับประทานยาปฏิชีวนะ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้แบคทีเรียในลำไส้สร้างไบโอตินได้น้อย หรือผู้ที่รับประทานไข่ขาวดิบเป็นประจำ เนื่องจากสารเอวิดิน (Avidin) ในไข่ขาวดิบจะยับยั้งการดูดซึมของไบโอติน

ข้อแนะนำสำหรับขนาดการรับประทานไบโอตินในแต่ละวัน

*เพื่อลดอาการหลุดร่วงของเส้นผม รับประทานวันละ 2,400 ไมโครกรัม (4 เม็ด)
*เพื่อบำรุงเส้นผมให้แข็งแรงอยู่เสมอ รับประทานวันละ 1,200 ไมโครกรัม (2 เม็ด)
*เพื่อรักษาอาการเล็บเปราะบาง ฉีกขาดง่าย รับประทานวันละ 2,400-3,600 ไมโครกรัม (4-6 เม็ด)
*เพื่อป้องกันการขาดไบโอติน รับประทานวันละ 600-1200 ไมโครกรัม (1-2 เม็ด)

ไบโอติน แหล่งสารอาหารธรรมชาติ

โดยปกติมนุษย์เราได้รับไบโอตินจากสารอาหารธรรมชาติในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว โดยอาหารที่อุดมไปด้วยไบโอติน ได้แก่ บริวเวอร์ยีสต์(Brewer’s yeast) นมสด ไข่แดง อาหารจำพวกตับ ตับวัว ตับหมู ไตวัว เนื้อวัว ปลาเนื้อขาว, หอยนางรม, ปลา,น้ำมันปลา นมผึ้ง ข้าวกล้อง ข้าวโพด รำข้าวสาลี ไข่ นม เนย โยเกิร์ต ผักต่างๆโดยเฉพาะดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี เห็ด แครอท กล้วย เป็นต้น
……………………………………………………………………………………………………………

สนใจผลิตภัณฑ์ Neocell Collagen ราคาปลีก หรือ ราคาส่ง

คุยง่ายๆ ติดต่อเรา 088-2908210 คุณกุ๊กไก่